Tuesday, July 26, 2016

แม่วัย 20 ปี ร้อง สสจ.สตูล อ้างโรงพยาบาลมะนัง ไม่ทำคลอดปล่อยลูกเสียชีวิต




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา น.ส.นภัสสร เพอรัตน์ อายุ 20 ปี ชาวสตูล พร้อมด้วยญาติพี่น้องนำเอกสารแจ้งขอความเป็นธรรมจากกรณีบุตรเสียชีวิตจากการคลอด ยื่นต่อนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด โดยนายวิมาน ปันดีกา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล รับแทน ที่ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล อ้างถึงโรงพยาบาลมะนังไม่ดูแลอย่างทั่วถึงเป็นเหตุทำให้ลูกที่อยู่ในท้องเสียชีวิต โดยมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในครั้งนี้


น.ส.นภัสสร เพอรัตน์ ได้ระบุในหนังสือว่า จากเหตุกรณีเมื่อวันที่ 12 ก.ค. มีอาการปวดท้องจากการตั้งครรภ์และครบกำหนดเวลาคลอด และได้ฝากครรภ์ไว้ที่คลินิกละงู และโรงพยาบาลมะนัง แต่เนื่องจากโรงพยาบาลมะนังอยู่ใกล้กับบ้าน จึงเดินทางเข้ารับการดูแลในการคลอดที่โรงพยาบาลมะนัง เพราะมีความสะดวกและน่าปลอดภัยต่อการคลอดบุตร โดยตนเองได้ไปโรงพยาบาลมะนังในเวลาตีสามของคืนวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งมีอาการปวดท้องจากการเจ็บครรภ์เริ่มมีอาการในตอนเช้าของวันที่ 12 มาแล้วในตอนกลางวัน จากการตรวจวินิจฉัยของพยาบาลในขณะนั้นพบว่าปากมดลูกยังไม่เปิดจึงให้นอนรออยู่ในห้องคลอดโดยไม่ได้รับการดูแล ในการตรวจเบื้องต้นมีแต่พยาบาลทำหน้าที่แทนแพทย์เวรที่ทำหน้าที่อยู่

จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 13 ก.ค. เวลาประมาณ 6 โมงเช้าพยาบาลได้เข้ามาตรวจพบว่าปากมดลูกเปิดขึ้นประมาณ 2 ซม. และทางพยาบาลแจ้งมาอีกว่า ปากมดลูกยังหนาอยู่อีก แต่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บท้องอยู่และเจ็บทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และต่อมาก็ยังไม่ได้พบกับแพทย์เวรหรือแพทย์ผู้ชำนาญการในด้านการรักษาการทำคลอด มีแต่พยาบาลที่คอยแจ้งอาการ โดยมีอาการปวดท้องตลอดเวลาและมีอาการอาเจียนในตอนเที่ยง พยาบาลได้เอาปัสสาวะและเลือดไปตรวจและมาแจ้งกับข้าพเจ้าว่ากระเพาะปัสสาวะติดเชื้อสูงมากและฉีดยาให้ 1 เข็ม จนกระทั่งกลางคืนวันที่ 13 ก็ยังไม่ได้รับการตรวจจากแพทย์เวรเลย จนถึงเวลาประมาณตี 2 ข้าพเจ้าปวดท้องอย่างมากและพบว่ามีน้ำคร่ำไหลออกมามาก จึงรีบบอกพยาบาล แต่พยาบาลบอกว่ายังไม่คลอดเพราะปากมดลูกยังเปิดแค่ 2 เซ็น ในคืนนั้น ก็ยังไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องและทันท่วงที เกิดความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ จนเข้าวันที่ 14 ก.ค. มารดาของ น.ส.นภัสสร ได้แจ้งแพทย์ให้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์คอยดูแลมากกว่านี้ แต่ได้รับการนิ่งเฉย


น.ส.นภัสสร เพอรัตน์ กล่าวอีกว่า เมื่อพยาบาลบอกว่ามดลูกยังไม่เปิด แต่พบว่าอาการดิ้นของบุตรลดน้อยลง จึงกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากว่าอาจจะมีผลอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบต่อการคลอดลูก จึงไปร้องขอการส่งตัวกับพยาบาลที่พอจะช่วยเหลือได้ คือพยาบาลหน้าห้องตรวจแต่พยาบาลบอกว่าไม่สามารถช่วยได้เพราะอยู่คนละแผนกกัน ขณะที่อาการปวดและการดิ้นของบุตรข้าพเจ้าเริ่มลดลง จึงได้บอกแม่ว่าอยากจะกลับบ้านแต่พยาบาลบอกว่าน้ำคร่ำออกมามากแล้ว แต่กลับไม่ได้เมื่อเวลา 18.30 น. ด้วยความตกใจและไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร แม่จึงได้เดินทางไปขอคำแนะนำจากแพทย์ที่โรงพยาบาลละงู ซึ่งแพทย์บอกว่าให้โรงพยาบาลมะนัง ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลละงู แม่จึงเดินทางกลับมาแจ้งที่โรงพยาบาลมะนัง พยาบาลบอกว่าวันที่ 15 ก.ค.2559 จึงจะส่งตัวได้ จึงต้องนอนรออยู่อีก ทั้งที่อาการดิ้นของบุตรลดน้อยลงอย่างมาก 


"จนต่อมาในเวลาประมาณเวลาตี 2.15 น. ของคืนวันที่ 14 ก.ค.นั้น มีอาการหนาวสั่นเป็นไข้ความดันโลหิตจากการวัด 180 จึงทำให้พยาบาลและแพทย์ได้เข้ามาตรวจให้ข้าพเจ้านำเครื่องออกซิเจนมาให้ ไปได้ไม่นานออกซิเจนหมด แต่ก็ไม่มีพยาบาลนำมาเปลี่ยนให้หายเงียบไปจนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 15 ก.ค. จึงไปโรงพยาบาลละงู ด้วยรถส่วนตัวของตนเอง  เมื่อถึงโรงพยาบาลละงู แพทย์เวรแจ้งว่าต้องเข้าห้องผ่าตัดในเวลา 10 โมง จึงได้รับการผ่าตัดการคลอดและแพทย์แจ้งว่าเด็กสำลักน้ำคร่ำและหัวใจเต้นน้อยทำการผ่าตัดไปประมาณ 30 นาที ทารกได้เสียชีวิต จึงมาขอความเป็นธรรมเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วยเพราะไม่อยากให้เกิดกับใครอีก"

ในส่วนนายภาณุ เพ็ชรประดับ กล่าวว่า ญาติพี่น้องเสียใจกับการจากไปของลูกและมาปรึกษาในฐานะตนเองพอรู้กฎหมายก็ควรที่จะเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมเพราะอย่างไรหากผิดตั้งแต่การไม่เอาใจใส่ดูแลของโรงพยาบาลจริงหรือไม่  ทางสาธารณสุขสามารถตรวจสอบได้เพราะคงไม่เข้าข้างกันเองแน่  ชีวิตที่สูญเสียไปในครั้งนี้จะได้เป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าไว้ใจใครทั้งสิ้น

นายวิมาน ปันดีกา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ กล่าวว่า ตนเองรับทราบเรื่องแล้วจะนำเรียนต่อนายแพทย์สาธารณสุขเพื่อรับทราบและตรวจสอบต่อไปพร้อมจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบหรือไม่ต้องมีประชุมก่อน

0 comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.